สวัสดีค่ะ หนูชื่อ น.ส.แพรวา ฐิตะปุระ ปัจจุบันกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.6 จะมาเล่าถึงประสบการณ์การไปเป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศแคนาดาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาค่ะ
เมื่อปิดเทอมใหญ่นี้หนูได้มีโอกาสไปเป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศแคนาดากับโครงการ UCE ค่ะ ซึ่งการได้ไปเรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมครั้งนี้ทำให้หนูได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่หลายอย่าง โดยบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่เราส่วนใหญ่รู้กันอยู่แล้ว แต่ในบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำกันแบบนั้น
วันแรกที่ไปถึงแคนาดา เด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศไทยก็ต้องไปรวมตัวกันที่โรงเรียนเพื่อที่จะได้ไปเจอกับ host family แต่เนื่องจากว่าพวกเราเดินทางกันมานานมาก ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย และอยากเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้รู้สึกสดชื่นขึ้นจึงชวนกันไปเข้าห้องน้ำ แน่นอนว่าพวกเราได้จินตนาการรูปแบบห้องน้ำประเทศแคนาดาไว้ต่างๆ นานา และเมื่อพวกเราไปถึงห้องน้ำเราก็ได้พบกับความจริงที่ว่า ห้องน้ำของโรงเรียนที่ไปเรียนนั้นมีครึ่งบาน ที่สำคัญคือมันหายไปครึ่งบานล่าง ดังนั้นการที่พวกเราจะทำอะไรในห้องน้ำนั้น เราจะต้องระวังอย่างมาก เพราะเพียงแค่เพื่อนหรือคนอื่นๆ ด้านนอกก้มตัวลงต่ำเพียงนิดเดียว เขาจะสามารถมองเห็นอะไรๆ ในห้องน้ำที่เราเข้าอยู่ได้แทบทั้งหมด
การชี้เท้าเป็นสิ่งที่ทำกันโดยทั่วไป ไม่ถือว่าเป็นการหยาบคาย ตอนแรกที่ไปค่อนข้างตกใจ ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจมาบ้างแล้วว่าคนที่นู่นเขาไม่ได้ถือว่าเท้าเป็นของต่ำแบบบ้านเรา แต่พอได้ไปเจอของจริงเข้าก็หันมามองหน้ากันแบบงงๆ แล้วก็ยิ้มๆ ตอนนั้นไปเข้าห้องน้ำตอนพักคาบเรียน ก็เดินไปกันเป็นกลุ่มสัก 5-6 คน ซึ่งในห้องน้ำตอนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังล้างมืออยู่ พอเราเข้าไปเราก็เห็นว่าห้องน้ำทุกห้องมีกระดาษชำระลอยคว้างอยู่เต็มไปหมด นักเรียนผู้หญิงคนนั้นก็หยิบหนังสือกองโตพร้อมกับหันมามองหน้าเราแล้วถามว่า มาเข้าห้องน้ำใช่ไหม เข้าห้องนี้สิ แล้วใช้เท้าเตะประตูเหมือนเล่นเทวันโดและยังใช้เท้าข้างเดิมชี้ๆเข้าไปในห้องน้ำห้องนั้นแล้วหันมายิ้มให้เราก่อนเดินจากไป
การเรียนของประเทศแคนาดาจะมีคาบเรียนน้อยแต่ช่วงเวลาแต่ละคาบจะมากกว่าไทย ที่หนูไปเรียนมีแค่สี่คาบต่อวัน แต่ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ต่อหนึ่งวิชา ซึ่งถ้าเทียบกับไทยที่เรียนวันละ 7-8 คาบ แต่แต่ละคาบใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หนูรู้สึกว่าการจัดตารางสอนของที่นู่นดีมากเลย เพราะเราสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเร่งรีบกับเวลาที่กำหนด และเด็กนักเรียนไม่เครียดที่มีคาบเรียนมากจนเกินไป ส่วนความสัมพันธ์ของครูกับนักเรียน จะเป็นคล้ายๆ กับเพื่อนหรือรุ่นพี่กับรุ่นน้อง ที่นู่นเขาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันแบบไม่อาย ไม่กลัวผิด กล้าเถียงและจะถามจนกว่าจะเข้าใจ คุณครูส่วนใหญ่ใจดี บางคาบจะมีขนมเล็กๆ น้อยๆ ให้ทานก่อนเริ่มคาบด้วย
อย่างที่ได้บอกไปแล้วด้านบนว่าคาบเรียนน้อยแต่เวลาเรียนเยอะ จึงทำให้คาบพละที่นี่สนุกมาก เพราะตั้งแต่ที่ไปนี่ลองนับๆ ดูแล้ว หนูเล่นกีฬาไปได้ประมาณ 13 อย่าง อันนี้รวมกับที่ host family พาไปด้วยนะคะ แต่กิจกรรมในคาบพละนั้นมีเยอะมากจริงๆ เป็นกิจกรรมที่บางครั้งต้องออกนอกสถานที่ไปในที่ต่างๆ พวกเราก็จะได้ไปเรียนรู้สถานที่ใหม่ๆ ซึ้งเป็นสิ่งที่เพื่อนๆคนอื่นอาจจะไม่ได้ไป จริงๆคาบพละจะเป็นคาบที่สนุกมากถ้าไม่ติดว่าวิ่งกันอาทิตย์ละสองรอบ วิ่งทีก็หลายๆกิโลเมตร หนูไม่ชอบการวิ่งอยู่แล้ว เพราะเป็นการออกกำลังกายที่หนูไม่คิดว่ามันเพลิดเพลินเลยแถมเหนื่อยมากอีกต่างหาก ทำให้วันไหนที่ครูนัดวิ่ง พวกหนูจะไม่อยากไปเรียนพละขึ้นมาทันที
การไปโบสถ์ เหมือนกับการไปคอนเสิร์ต เพราะมีทั้งคนร้องเพลง เล่นเบส มือกีตาร์ มือกลองแบบจัดเต็มมาก เมื่อได้เข้าไปจะมีคนยืนอยู่ บ้างก็ชูมือโบกมือไปมา บ้างก็ยืนร้องเพลงนิ่งๆ เลยหันไปถาม host mom ว่าทำไมเขาถึงได้ชูมือขึ้นกัน host mom ตอบว่า มันเป็นการแสดงถึงการเคารพพระเจ้า เราก็อ๋อ อย่างนี้นี่เอง พอเราไปโรงเรียนเราก็เห็นเพื่อนแคนาดาโบกมือกัน หลับตา เหมือนปล่อยใจให้ไปกับเพลง มันแสดงถึงว่าโรงเรียนที่เราไปอยู่นั้นค่อนข้างจะปลูกฝังเรื่องศาสนาให้กับเด็กนักเรียนมากเลยทีเดียว
คนที่นู่นมองเอาโดยรวมคิดว่าไม่ค่อยจะให้ความสนใจกับเรามากเท่าไหร่นะ แต่พอเจาะลึกๆลงไป ลองได้มีโอกาสไปพูดคุยกับเขาแล้ว จะรู้ว่าเขาคุยง่ายและยิ้มเก่งมาก บางครั้งพอรู้จักกันในคาบก็ชวนเราไปทานข้าวด้วย กลับเป็นเราเสียอีกที่อายไม่กล้าเข้าหาพวกเขามากนัก เขายังสนใจวัฒนธรรมของไทยมาก เวลาเห็นเราไหว้กันเราจะมองว่าเราทำอะไรและบางคนก็พยายามจะทำตามอีกด้วย ณ จุดนี้ ภูมิใจที่เรามีวัฒนธรรมไทยที่สวยงามให้คนอื่นเขาชื่นชม
สุดท้ายเลยคือเพื่อนร่วมประสบการณ์และคุณครูผู้ดูแลกลุ่ม เพื่อนกลุ่มนี้น่ารักมากค่ะ คอยช่วยเหลือกันตลอดเวลา มีอะไรก็จะแบ่งปันกัน ส่วนคุณครูก็คอยดูแลพวกเราไม่ห่าง คอยถามไถ่ถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราอยู่เสมอ แสดงถึงความใส่ใจที่ครูมีต่อพวกเรา อยากจะบอกถึงโครงการ UCE ว่า หนูขอบคุณที่พี่ๆมีโครงการดีๆแบบนี้ขึ้นมา มันทำให้หนูได้มีประสบการณ์ต่างๆมากมาย ได้เจอเพื่อนใหม่ ได้มีโอกาสทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อทุกสิ่งที่ได้พูดมาข้างต้นมารวมกัน มันพลิกชีวิตหนูได้ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ^^