จากเมืองไทย สู่ New Zealand ( วชิรวิทย์ โชติปรัญชัย )
ดินแดนในความใฝ่ฝัน
ประสบการณ์ ในโครงการเยาวชนยูซีอี แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
สวัสดีครับ ผมชื่อนาย วชิรวิทย์ โชติปรัญชัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 โรงเรียนเพชรพิทยาคมครับ ผมจะเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการเยาวชนยูซีอี แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมครับ โดยผมจะขอเล่าตั้งแต่การสอบคัดเลือกเลยนะครับ ผมเรียนอยู่ชั้น ม.4 ก่อนที่ผมจะสอบ ย้อนไปตอน ม.ต้น ผมเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนมานานแล้ว และก็อยากไปเหมือนคนอื่นบ้าง เพราะโรงเรียนของผมมีแต่คนไปแลกเปลี่ยนในต่างประเทศกันเยอะมากในแต่ละปี มีทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเมื่อผมได้ยินคุณครูประกาศทีไร ผมชอบคุยกับเพื่อนว่าจะไปให้ได้ซักโครงการหนึ่ง จนกระทั่งผมอยู่ ม.ปลาย ผมก็ได้รู้จักกับเพื่อนของเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเคยไปโครงการยูซีอีมาแล้วในช่วงเดือนเมษายน ไปที่ประเทศนิวซีแลนด์ เลยได้แนะนำผมว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยทีเดียวแม้จะแค่ระยะสั้นๆ
พอการสอบครั้งต่อมาในปีเดียวกัน ช่วงเดือนกรกฎาคม แล้วไปเดือนตุลาคม ผมจึงสอบกับทางโรงเรียน ในตอนนั้นผมกังวลเรื่องผลสอบที่จะออกมาเป็นอย่างมาก เพราะผมยอมรับว่าผมไม่ค่อยเก่งอังกฤษซักเท่าไหร่ โรงเรียนผมสอบทั้งหมดเก้าคน และทุกคนสอบผ่านกันหมดรวมถึงผมด้วย ผมดีใจมากครับ ( อ้อลืมบอกไปว่าผมเลือกที่จะไปนิวซีแลนด์ ) แต่พอถึงการรายงานตัวมีแค่เพื่อนผมและผมที่ไป คนอื่นที่สอบผ่านไม่ไปกัน ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม และที่ดีใจอีก อย่างหนึ่งก็คือคุณครูที่คุมสอบผมก็ได้เดินทางไปเป็นคุณครู Volunteer ไปกับโครงการยูซีอี ด้วย แต่อยู่คนละกลุ่มกับผม
เรามาเล่าถึงเรื่องการเข้ารับการประชุมผู้ปกครองและปฐมนิเทศกันดีกว่า ผมและพ่อก็ได้ไปประชุมผู้ปกครอง ผมตื่นเต้นมากกับการที่จะฟังการบรรยายเกี่ยวกับโครงการนี้เพราะผมเป็นคนชอบอะไรๆ ที่เกี่ยวกับต่างประเทศมาก วันแรกไม่ค่อยเท่าไรครับ พอวันที่สองคือวันปฐมนิเทศของเยาวชนแลกเปลี่ยน วันนี้เป็นวันที่ผมตื่นเต้นมากที่จะได้เจอกับคนในกลุ่มเดียวกัน ที่ตื่นเต้นไม่ใช่อะไรหรอกครับเพราะเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และวันนั้นพากเรากลุ่มที่ 4 นิวซีแลนด์ ก็ได้ประชุมกลุ่มกัน ว่าใครจะเตรียมอะไรไปจัดนิทรรศการ ใครจะเตรียมอะไรไปจัดวัน UCE NIGHT ก็ได้แบ่งกันตามที่จดไว้ ภารกิจของผมคือ เตรียมอย่างแรกเลยคือ ขลุ่ย และชุดไทยภาคกลาง หลังจากที่ประชุมอะไรกันเสร็จเรียบร้อย ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ไม่แค่นั้นครับ ก่อนกลับพวกเราก็ได้แลก เฟสบุ๊คกัน เพื่อติดต่อกันก่อนเดินทางและเพื่อให้ชัวร์ในการเตรียมงาน
ซึ่งทุกอย่างก็ราบรื่นดี แต่ผมมีความกังวลอยู่เรื่องเดียวคือ ขลุ่ย ถึงแม้จะเป็นขลุ่ย พลาสติก แต่ ดาก ของขลุ่ยเป็นไม้ ซึ่งประเทศนิวซีแลนด์ถ้าจะเอาไม้เข้าในประเทศของเค้านั้น ต้องผ่านการ Declare ก่อนถ้าผ่านก็เอาเข้าประเทศได้ แต่ถ้าไม่ผ่านก็ต้องทิ้งไป ซึ่งขลุ่ยของผมนั้นเป็นมีครูเพราะเครื่องดนตรีไทยทุกชนิดผมถือว่ามีครูหมด ก็เลยกังวลเรื่องนี้ พอออกมาอยู่บ้านกันแล้วพวกเราก็ติดต่อกันทางเฟสบุ๊คตลอดไม่มีขาด พวกเราก็ได้ตกลงหน้าที่กันเป็นที่เรียบร้อย (เกือบลืมในวันปฐมนิเทศสนุกมากครับ ทั้งเรื่องที่รุ่นพี่ที่เคยไปกับโครงการนี้มาเล่าให้ฟัง และการแนะนำเมือง แนะนำโรงเรียนที่แต่ละกลุ่มต้องไปอยู่อาศัย และการพูดถึงอุปนิสัยของคนในประเทศนั้นๆ อยากจะบอกว่าช่วยได้มากจริงครับ)
พอถึงวันที่ต้องเดินทางไปสนามบินเพื่อที่จะไปนิวซีแลนด์ ผมตื่นเต้นมากในวันก่อนวันเดินทาง แต่คนอื่นๆชอบพูดกันว่าในวันนั้นนอนไม่หลับ แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นอะไรครับผมหลับแบบว่า สนิทเลยครับ พอเช้าวันเดินทาง ทั้งพ่อของผม คุณตา และคุณอาก็ไปส่งผม แต่เกิดเหตุที่ไม่คาดคิดครับ พ่อผมลืมเงินที่แลกไว้ในวันปฐมนิเทศลืมไว้ที่สุโขทัย บ้านผมอยู่เพชรบูรณ์นะครับ ซึ่งไกลกันมาก ให้ต้องไปเอาเงินที่สุโขทัยก่อนแล้วค่อยตรงไปสนามบิน แต่ช้ามากครับ เพราะระยะทางมันไกลถึงไกลมาก (ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อไม่ไปแลกใหม่ที่สนามบิน เพราะถ้าไม่ย้อนกลับไปเอาเงินรับรองว่าถึงสนามบินตั้งแต่บ่ายแล้ว)
พ่อผมจึงขับรถเร็วมากครับ เร็วชนิดที่ว่าแซงเอา แซงเอาเลยครับ (หวาดเสียว) เพราะพ่อพูดแล้วว่าถ้าขืนช้าตกเครื่องแน่ครับ ผมก็ลุ้นว่าขอให้ไปให้ทัน ผมก็ได้บอกคนในกลุ่มระหว่างทางที่พ่อขับ ในเฟสว่าไปช้าแน่นอน ทางโครงการนัดผมไว้ประมาณ 15.40 น. แต่ผมไปถึง ประมาณ 17.40 น. ซึ่งพี่ๆ โครงการก็โทรหาพ่อผมบ่อยมากบอกว่าให้เร่งหน่อย เพราะว่า โรลเช็คอินเหลือแค่โรลเดียว เพราะพี่ๆ โครงการก็คอยบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าขอให้รอผมหน่อยได้มั้ยเหลือแค่คนเดียว สรุปคือทันครับ ผมรู้สึกผิดมากที่ผมไม่ได้เตือนพ่อว่า ไปแลกใหม่ที่สนามบินก็ได้ จึงทำให้ผมได้ล่ำลากับครอบครัวแค่บนรถระหว่างความเร่งรีบกับทำเวลาให้ได้ ผมก็ได้เช็คอินเข้าไป ผมก็ได้เดินเข้าไปตามที่พี่โครงการได้อธิบายว่าต้องทำยังไง เดินไปทางไหนบ้าง หลังจากเช็คอินแล้ว เพราะพี่โครงการไม่สามารถเข้าไปด้วยได้ไงครับ ทำให้ผมต้องเดินคนเดียวท่ามกลางสนามบิน บอกตรงๆว่าจากที่ที่ผมเช็คอินกับGate ที่เพื่อนในกลุ่มผมนั่งรอกันอยู่นั้น ไกลกันมากครับ (เหนื่อยมาก) แต่ผมก็สามารถหาเพื่อนในกลุ่มจนเจอครับ
พอเห็นหน้าคนในกลุ่ม ทุกคนไม่ได้โกรธหรือว่าอะไรเลยนะครับ แต่ผมรู้สึกผิด และอายมากที่มาช้า แต่ก็มีแต่คนมาให้กำลังใจว่าไม่เป็นไร รวมถึงคุณครูปุ๊ ครูประจำกลุ่มผมด้วยครับ เพราะเหตุนี่ล่ะครับที่ทำให้ผมรักทุกคนในกลุ่มมาก พอถึงเวลาขึ้นเครื่องทุกคนก็เดินขึ้นเครื่องด้วยกันอย่างมีระเบียบครับ ความคิดแรกที่ผมคิดหลังจากนั่งบนเครื่อง คือ “ผมมาทำอะไรตรงนี้’’ ‘’นี่ผมจะไปต่างประเทศแล้วจริงๆ เหรอ จะไปอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวเราจริงๆ นะหรือ” แต่ผมก็ได้คิดอีกว่า เราติดสินใจมาแล้วเราต้องตั้งใจเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และภาษากลับมาให้ได้มากที่สุด เพราะมันเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ ผมจึงหายตื่นเต้น แต่รุ่นน้องในกลุ่มที่นั่งข้างผมนะสิครับ ดูตื่นเต้นมาก ผมเลยสนุกกับการพูดคุยกับน้องในกลุ่ม
มาถึงระยะเวลาในการบิน คือจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงสนามบิน โอ๊คแลนด์ ใช้เวลาทั้งหมด ประมาณ 12-13 ชั่วโมง เที่ยวไม่ได้พักเครื่องเลยบินตรงอย่างเดียว เที่ยวบินที่ TG 492
การบินไทย ครับ ผมบอกตรงๆว่า เมื่อยมากครับดูหนังจบไปสองเรื่องแล้วจึงหลับนะครับ เพราะหลับยากมาก
พอตื่นมาก็ยังไม่ถึงสนามบินครับเหลืออีกประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้ทานอาหารเช้าบนเครื่องครับ เพราะกำหนดเวลาบอกว่าถึงที่สนามบินโอ๊คแลนด์ประมาณเที่ยงยี่สิบ ซึ่งเวลาที่นิวซีแลนด์เร็วกว่าที่ประเทศไทย 6 ชั่วโมง
พอไปถึง ลงจากเครื่องคุณคุณครูปุ๊ก็ได้พาไปพบกับ Principal ของโรงเรียนที่ที่กลุ่มผมต้องไปเรียนที่มากับรถโรงเรียนมารับด้วยตัวเอง เมืองที่พวกผมไปอยู่ก็คือ Rotorua ซึ่ง โรโทรัว อยู่ห่างจากโอ๊คแลนด์ 3 ชั่วโมง ก็คือพอเมื่อยจากเครื่องบินเสร็จก็ต้องนั่งรถอีกสามชั่วโมงเพื่อไปยังโรโทรัวครับ วันที่ไปเป็นวันเสาร์ไปถึงประมาณ บ่ายสามของที่โรโทรัวครับ ก็ไปที่โรงเรียนเพราะ Host Family มารอรับที่โรงเรียน พอไปถึงเห็นฝรั่งยืนเต็มเลย ตื่นเต้นครับ ผมได้ Host เป็นตำรวจครับ โฮสต์แด๊ดเป็นตำรวจ ผมตื่นเต้นครับ เพราะว่าผมจะได้นั่งรถตำรวจของนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นรถรุ่นหรูมากครับ (ชอบมากกกกกกกกกก) จากนั้นก็นั่งรถไปที่บ้านโฮสต์ครับ ผมเป็นคนไทยคนเดียวในบ้านครับ โอ้วแม่เจ้า ก็ได้ทักทายกับครอบครัว ซึ่งน่ารักมาก มีทั้ง Mom Dad แล้วก็ลูกอีกสี่คน ผู้หญิงหนึ่ง ผู้ชายสาม สามคนเล็ก ซนมากครับแต่ก็รัก วันแรกหนาวมากครับ ไม่มีฮีทเตอร์ ต้องใช้ผ้าห่มถึงสามผืน แต่วันอาทิตย์มัมก็ถามว่าหนาวมั้ย ผมก็ตอบตรงๆว่าหนาวมากครับ มัมเลยเอาฮีทเตอร์มาให้ ผมเลยอุ่นทุกวันเวลานอน เรื่องนอนเลยสบายไป
เรื่องการกินอยู่ อาหารเย็นอร่อยทุกวันและชอบด้วย แต่อาหารเช้ากับเที่ยงซ้ำกันทุกวัน เบื่อครับ ตอนเช้าก็ ขนมปังอบ ไม่ก็ ซีเรียล แค่นี้แหละครับ เที่ยงก็ ขนมปัง โยเกิร์ต ผลไม้ และคุ้กกี้ เบื่อแค่ไหน กลับมาไทย อยากกินแบบนั้นมากครับ เพราะคิดถึง
เรื่องไปโรงเรียน ผมตื่นเต้นกับการไปโรงเรียนมาก เพราะอะไร ง่ายๆเลย เพราะมันคือโรงเรียนของต่างประเทศไม่เหมือนกับที่ไทยแน่นอน ในเรื่องของการเรียนผมได้ Buddy ที่ต้องพูดว่าเด็กเรียนมากเพราะแต่ละวิชาที่คู่หูผมเลือกเรียนนั้นไม่มีวิชาที่ผมชอบเลย วิชาการทั้งนั้น 555 ตลกดีนะครับ คือเพื่อนในกลุ่มผมได้คู่หูที่เรียนดนตรีแต่เพื่อนผมเค้าชอบวิชาการ ส่วนผมได้คู่หู่ที่ชอบวิชาการ แต่ผมชอบดนตรี สลับกันครับ แต่ก็ไม่เป็นไรครับเพราะทุกชั่วโมงที่เรียนนั้นทำให้ผมนั้นได้ภาษากลับมาเยอะมาก
ผมกล้าพูดได้เลยว่าภาษาผมนั้นดีขึ้นเยอะมาก (แต่ก็ไม่ถึงกับเก่งเหมือนคนที่ไปปีนึงนะครับ) แต่ผมก็สนุกกับการเรียนในโรงเรียนมากครับ โรงเรียนชื่อ John Paul College เป็นโรงเรียนที่สวยมากครับ นักเรียนก็เป็นกันเองทักกันตลอดเลยครับ หลังจากที่เรียนกับบั๊ดดี้เสร็จแล้วสองชั่วโมงเช้า ก็ไปเข้า English Class ต่อครับ เรียนกับครู Valerie เป็นครูที่ใจดีและเป็นกันเองมากครับ แต่เคร่งครัดในกฎระเบียบมากเหมือนกันครับ แต่ก็เพราะความเคร่งครัดนี่แหละครับที่ทำให้ทุกคนในกลุ่มของผมนั้นภาษาดีกันหมดทุกคน ผมเชื่อว่าอย่างนั้น ส่วนเรื่องเที่ยวในที่ต่างๆ ของเมืองโรโทรัว อาทิตย์แรกเราได้ไปที่ Redwoods ครับ เป็นป่าที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่เดินไปก็เพลินดีครับทั้งหนาวทั้งเย็นและต้นไม้ก็สวย
แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปที่ บ้านของชาวเมารีครับ (ชาวเมารีเป็นชนพื้นเมืองของประเทศนิวซีแลนด์ที่มาอยู่ก่อนที่คนอังกฤษจะมาอยู่กันเยอะครับ) เป็นบ้านที่ดูแล้วก็ไม่ค่อยต่างอะไรกับบ้านชั้นเดียวที่ไทยครับแต่ทุกส่วนของบ้านมีความหมายหมดเลยครับ ถ้าอยากรู้ก็ต้องไปเองครับ หลังจากนั้นเราก็ไปที่ทะเลสาบโรโทรัวครับ อยู่ติดกันเลยสวยมากลมแรงตลอดเวลา
อาทิตย์ต่อมาเราก็ไปกันที่ Rotorua Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สวยมากครับ อยากรู้ว่าเป็นไงต้องไปดูเองครับ แล้ววันเสาร์ของอาทิตย์ที่สองเราก็ไปกันที่ Okere Falls ก็สวยมากอีกเหมือนกันครับ หลังจากนั้นวันเดียวกันเราก็ไปที่ ฟาร์มของผูช่วย ผอ. ของ จอห์น พอล ซึ่งวัวเยอะมากครับ ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ หลังจากนั้นเราก็ไปที่ Skyline ครับเป็นที่ที่เราหมายปองกันไว้ทุกคนเลยครับ ได้เล่น Sky luge สนุกมาก
ถัดมาอีกประมาณสองสามวันเราก็ไปกันที่ Waimangu Thermal Valley ครับ ขอบอกว่าที่นี่คือที่ที่ผมชอบมากที่สุดที่นึงเลยก็ว่าได้ครับ เพราะนอกจากจะได้เดินทางไกลแล้ว มันสวยมากๆ ตลอดทางที่เดินเลยครับ ลืมบอกไปว่าที่นี่เป็นหุบเขา ที่มีน้ำที่เดือดอยู่จุดนึงครับ ทั้งบ่อเป็นสีฟ้าครับ (มันช่างงดงามอะไรอย่างนี้ ) อยากจะลงไปเหลือเกินครับ แต่ลงไม่ได้เพราะถ้าลงไปแล้วขึ้นคุณอาจจะสุกได้ครับหลังจากที่ออกจากหุบเขาเราก็ไปกันที่ Mud Pools เป็นบ่อโคลนครับ แต่ไม่ธรรมดาตรงที่ว่า โคลนนั้นเดือด และปะทุขึ้นอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับน้ำต้มเดือดนะครับแต่เป็นโคลน ผมพอจะรู้สาเหตุคร่าวๆ ครับว่าทำไม เพราะเมืองโรโทรัวนั้นตั้งอยู่บนพื้นที่ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับครับ แต่ก็ไม่ปะทุออกมาเป็นลาวานะครับ ทำให้ดินใต้เมืองนี้บางจุดนั้นออกมากลายเป็นโคลนเดือดครับ ที่เล่ามาอาจดูเหมือนเที่ยวเยอะนะครับ แต่ไม่จริงครับ เรียนหนักมากครับกลุ่มผม ถ้าเทียบกับกลุ่มเพื่อนผมอยู่กลุ่มสาม เล่ามาแล้วเหมือนกลุ่มผมไม่ค่อยได้เที่ยวเลยครับ555 แต่เหตุผลที่มาโครงการเพื่อมาเรียนนะครับ เที่ยวไม่เยอะก็ไม่เป็นไร ผมเข้าใจเหตุที่มาที่นี่ดีครับ
มาต่อกันที่เรื่องวัน UCE NIGHT เลยครับ เป็นวันสุดท้ายที่ได้เจอโฮสต์และได้อยู่ในโรงเรียน ความรู้สึกนั้นตอนแรกระหว่างเตรียมงานก็สนุกแล้วก็วุ่นกันมากครับ ก่อนแสดงก็ตื่นเต้นและก็ดีใจที่จะได้โชว์อะไรที่ชาวต่างชาติไม่เคยได้เห็นเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งเลยล่ะครับ แต่เมื่อแสดงเสร็จ ก็กลับมาคิดในใจว่านี่วันสุดท้ายแล้วหรอ จะไม่ได้เจอคนที่นี่แล้วหรอ กลับจะไม่ได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ แล้วก็คุณครูในกลุ่มอีกแล้วหรอคงไม่ได้เจอไปอีกนานเลยล่ะ พอคิดปั๊บ เศร้าเลยครับ กลับบ้านไป
ก็ไปร่ำลาโฮสต์ตั้งแต่วันนั้นเลย เช้ามาก็ร่ำลาอีก ตอนแรกก็ยังไม่ร้องไห้หรอกครับแต่พอขึ้นรถเพื่อที่จะไปสนามบินนะครับไม่มีใครพูดอะไรที่มันสะเทือนใจเลย แต่อยู่ดีดี น้ำตาก็ไหลออกมาไม่ใช่น้อยๆ นะครับ ไหลออกมาเป็นเวลานานเหมือนกันครับ และเยอะด้วย แต่ก็ทำใจได้ตอนอยู่บนเครื่องแล้ว เชื่อมั้ยครับว่าอยู่บนเครื่องบินยังคุยกันสนุกอยู่เลยพอลงเครื่องทำอะไรเสร็จระหว่างเดินเพื่อไปเอากระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่อง น้ำตาก็ไหลอีกครั้ง แล้วพวกเราก็จับกลุ่มกันร้องเพลงกัน ทำให้จนตอนนี้เราก็ไม่เคยลืมกันเลย คุยกันตลอด
สรุปคือเป็นประสบการณ์ในต่างแดนที่ท่านไม่สามารถหาเองได้ถ้าท่านไปเอง
โดยไม่มีโครงการแลกเปลี่ยน ท่านไม่สามารถเข้าโรงเรียนในนั้นได้ถ้าท่านไม่ได้ไปเรียนตลอด
ท่านไม่สามารถมีครอบครัวในต่างประเทศได้ เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ดีมากๆ เลยล่ะครับ
จะไม่มีวันลืมเลือน